Friday, February 22, 2008

Only@Melbourne

ก็ที่เมลเบิร์น เท่านั้นแหละ

ก๊ง ก๊ง.....มาแล้ว.......มาแล้ว........... เป็นคำที่ได้ยินจนชินหูชาวเมลเบิร์นทั้งเทศทั้งไทย

ก๊งๆ ที่ว่านี้ก็คือ รถรางแทรม (Trams) ที่วิ่งไปทั่วเมืองเมลเบิร์น เวลาวิ่งจะมีเสียงดัง ก๊งๆ ก๊งๆ จึงถูกตั้งชื่อเสียเสร็จสรรพว่า ก๊งๆ ซึ่งก็ดูน่ารักเหมาะเจาะดีกับรถรางสีแดงคันป้อมๆ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ เมือง เมลเบิร์น (Melbourne) ไปเลย

เมลเบิร์น เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย ในรัฐ วิคตอเรีย (Victoria) ใต้นครซิดนี่ย์ (Sydney) ลงไปหน่อยเดียว มีเครื่องบินตรงจาก กรุงเทพฯถึงเมลเบิร์นทุกวัน เมลเบิร์นเป็นเมืองเล็กๆ แต่ดึงดูดผู้คนหลายชาติหลายพันธุ์ให้มารวมอยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุที่ว่าเป็นเมืองศูนย์รวมของมหาวิทยาลัยดังๆหลายแห่ง เช่น University of Melbourne, Monash, RMIT ซึ่ง เพื่อนของผู้เขียนเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้ และประสบการณ์ใหม่ถึง ขนาดต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่หลายปีที่นี่

ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเหยียบประเทศใหญ่ขนาดทวีปแห่งนี้หลายครั้งมาแล้ว แต่เพิ่งจะได้ไปเมลเบิร์นเพียงครั้งแรก เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยื่ยมเยือนเรือนมิตรของเพื่อนสนิทคนหนึ่งอยู่หลายสัปดาห์ จึงได้เรียน ได้รู้ ได้เห็นสิ่งแปลกๆใหม่มากมาย มีทั้งเรื่องสนุก....สนุกมาก มีทั้งเรื่องเศร้า.....และเศร้ามากเช่นเดียวกัน

วัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องปกติของนักเรียนไทยแทบจะทุกคนที่นี่คือการทำงานพิเศษ ซึ่งถือว่าถูกกฎหมาย (ไม่รวมงานเสริ์ฟในร้านอาหารไทยที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องนับคำณวนเวลาตามกฎหมาย) ไม่ว่างานเล็กงานน้อยงานนู่นงานนี่งานไหนๆเด็กไทยกวาดเรียบ อยู่เมืองไทยเป็นคุณหนูแต่พอมาอยู่ที่นี่เป็นเด็กล้างจานก็พบบ่อยๆ แน่นอนเงินเป็นปัจจัยหลัก แต่ประสบการณ์ที่ได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก

งานในร้านอาหารไทยเป็นที่แรกที่ทุกคนจะนึกถึง เนื่องจากมีตำแหน่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กุ๊ก พนักงานเสริ์ฟ พนักงานต้อนรับ พนักงานคิดเงิน รวมไปถึงพนักงานทำความสะอาดและล้างจาน อย่างเดียวที่เป็นไม่ได้ก็คือ เจ้าของร้าน เท่านั้นแหละ ตำแหน่งที่ดีที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นพนักงานเสริ์ฟ ซึ่งจะมีรายได้ตกอยู่ที่ 50-80 เหรียญต่อ 1 วัน ไม่รวมทิป แต่ตำแหน่งที่ดีก็มีการตบตีแย่งชิงกันมาแล้ว เช่นบางร้านรับเฉพาะแต่เด็กจุฬาฯ เท่านั้นไม่รู้ทำไม บางร้านต้องผิวสีน้ำผึ้งนะ ไม่งั้นไม่รับ ถ้าอ้วนเกินไปหน่อยก็ได้ตำแหน่งแคชเชียร์หรืออยู่หลังครัวไปโดยปริยาย งานร้านอาหารไทยในต่างแดนนั้นมีผู้เขียนพ๊อกเก๊ตบุ๊คมากมายจนเล่าไม่หวัดไม่ไหว ส่วนใหญ่จะเป็นแต่เรื่องร้ายๆ แฉสิ่งเลวๆที่ คนไทยชอบทำอยู่เรื่อยเลย....เฮ้อ

เมีเพื่อนคนหนึ่งจับพลัดจับผลูได้ไปทำงานเป็นสาวเสริ์ฟอยู่พักใหญ่ แต่เงินเกลี้ยงเพราะบ้าช็อปปิ้ง ร้านของเจ้าหล่อนนั้นต้องนั่งรถไฟออกไปนอกเมือง ต้องซื้อบัตรรถไฟโซน2 (หมายถึงบ้านนอกหน่อยๆ) บัตรรถไฟนั้นมีมากมายหลายอย่าง แต่ทั้งหลายทั้งปวงจะรวมเรียกว่า เม็ดการ์ด (met card คือ Melbourne Public Transport Card) สามารถใช้ได้หมดทั้ง รถแทรม, รถเมล์, รถไฟ ซึ่งถือว่าสะดวกมากๆ ยกเว้นแทรมบางสายทีพิเศษหน่อย เช่น แทรมสีน้ำตาลแดงชื่อ “ซิตี้ เซอเคิ่ล” (City Circle Tram) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมลเบิร์น สายนี้ขึ้นฟรี วิ่งวนไปรอบๆเป็นวงกลม เสียดายมีอยู่น้อยมาก รอทีก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง นั่งนานจนเหน็บกินเลยทีเดียว อีกสายที่พลาดไม่ได้เด็ดขาดคือ “แทรมไฮโซ” (ชื่อเล่นที่เพื่อนผู้เขียนตั้งเอง) หรือ แทรมร้านอาหาร (Restaurant Tram) เจ้าแทรมไฮโซเนี่ยชื่อก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่าต้องหรูสุดๆ เป็นรถแทรมสำหรับคืนพิเศษๆ ภายในแทรมนั้นประกอบไปด้วยโต๊ะอาหารสำหรับดินเนอร์ ตกแต่งอย่างอลังการ มีอาหารแสนอร่อย ท่ามกลางแสงเทียน โคมไฟแชนเดอเลียร์ระยิบระยับ พรมแดงปูตลอดตัวรถ แล่นเอื่อยๆแถบชายทะเล เซนท์กิลด้า (St Kilda) ย่านมาลิบูของเมลเบิร์น ถือเป็น “ไฮไลท์ ” อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมลเบิร์นที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

การเดินทางในเมลเบิร์นนั้นมีการแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น ใจกลางเมืองและโดยรอบๆคือโซน 1 ถัดไปนิดนึงเป็น โซน2 ถ้าบ้านนอกหน่อยก็โซน 3 เรื่อยไป มีการคิดเงินเป็นโซนๆราคาต่างกันไป บัตรโซน 1-3 แพงสุดแปลว่าใช้ได้ในโซนดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแบ่งเวลาเป็นช่วงๆ เช่นบัตรนี้ใช้ได้2ชั่วโมง อีกบัตรใช้ได้ 4 ชั่วโมง บัตรชนิดสุดคุ้มคือ “ซันเดย์ เซฟวิ่ง” (Sunday saving) ใช้ได้วันอาทิตย์ทั้งวัน ใกล้ไกลได้หมด ซึ่งเพื่อนของผู้เขียนมีแบบที่กล่าวมาทั้งหมด แถมด้วยแบบแปลกๆอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแยกใช้ตามวาระอันควร เวลาโชว์ให้ดูผู้คนแทบเป็นลมด้วยความงงและความงก!!

เมื่อเราซื้อบัตรเสร็จสรรพเราจะต้องทำการตอกบัตรด้วยตนเองซึ่งหลักการก็มีอยู่ว่า ทันทีที่ขึ้นรถจะต้องมองหาเครื่องตอกบัตรเป็นตู้สีเขียวๆกระจายอยู่ทั่วตัวรถ แล้วจัดการตอกเสียให้เรียบร้อย ใครจะตอกหรือจะโกงไม่ตอกก็ได้ แต่ก็จะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะมักมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แจ๊กพ็อต” เกิดขึ้นในบางครั้ง เจ้าแจ็คพ็อตนี่หมายถึง random check คือถูกตรวจโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทันทีที่พนักงานตรวจตั๋ว( มักจะมาแบบนอกเครื่องแบบ)เดินขึ้นมาแล้วรอจนรถปิด ต่อจากนั้นก็จะทำการตอกตั๋วพิเศษ ซึ่งเจ้าตั๋วที่ว่านี่จะทำการล๊อคเครื่องตอกตั๋วของทั้งคันรถทำให้ไม่สามารถตอกตั๋วได้อีก จากนั้นก็จะเริ่มฤดุแห่งการเก็บเกี่ยว โดยจะเช็คตั๋วของผู้โดยสารทุกคน ใครไม่ตอกก็ แจ็คพ็อตส่ง 100 เหรียญเป็นค่าปรับมาซะดีๆ ได้ข่าวว่าเด็กไทยไม่ค่อยโดนเพราะซื่อสัตย์ตอกกันหมด หรือหนีเก่งก็ไม่ทราบได้

สำหรับคนที่มีทุนหนาขึ้นมาหน่อยหรือกะปักหลักขอเป็น “พี. อาร์.” (Permanent Resident) นั้น ส่วนใหญ่มักจะซื้อรถยนต์เป็นของตนเอง สนนราคาก็ไม่ได้แพงมากมายนัก ถ้าไม่เกียงเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก รถมือ2 บางคันถูกแสนถูก จักรยานกริ๊งๆ ยังแพงกว่าอีก

ระหว่างทางไปร้านอาหารของพวกเรานั้นจะต้องผ่านชายหาด ไบรตั้น (Brighton Beach) ชายหาดแห่งนี้จะมีบ้านหลังเล็กๆตั้งเรียงกันไปตลอดทาง แต่ละหลังทาสีสันสวยงามแตกต่างกันไป พอช่วงฤดูร้อนบ้านเหล่านี้จะกลายเป็นร้านขายของจุ๊กจิ๊ก นี่คือสัญลักษณ์ที่ชาวเมลเบิร์นสร้างขึ้นมา ก่อนจะเลยไปทำงานที่ร้านอาหารไทย เรามักชอบมาเดินเล่นที่ชายหาดแห่งนี้ ถ่ายรูปกันบ้าง ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินบ้าง หลายครั้งก็นำเสบียงติดไม้ติดมือไปด้วย เสบียงที่ว่าเห็นจะหนีไม่พ้น “แซนวิชของซับเวย์” (Subways Sandwich) หรือถ้าครึ้มอกครึ้มใจก็จะอบเค้กหรือคุ้กกี้ตามสูตรของ “ดอนน่า เฮย์” (Donna Hay) ผู้หญิงมากความสามารถชาวออสซี่ มากินกัน ที่นี่ต่างจากหาด St. Kilda ที่เป็นย่านไฮโซ จะไปทีต้องแต่งเนื้อแต่งตัว ทานอาหารร้านโก้ๆ ตามทุนทรัพย์ที่หากันมาได้ (แทบตาย)

อยู่ที่เมลเบิร์นการทำอาหารเป็นเรื่องแสนสนุก เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้าคว้าย่าม ไปจ่ายตลาดที่ตลาด “วิคมาร์ท” (Queen Victoria Market) ตลาดที่นี่สะอาดสะอ้าน สินค้าดูสดใหม่ มีปลามากมายหลายชนิดให้เลือก แต่ละตัวดูสด สีสวย มีทั้งกุ้งล็อบสเตอร์ ปลาหมึกสดๆ หรือ หอยเชลส์ตัวโตๆ ให้เลือกอย่างจุใจ สนนราคาก็ไม่แพงถ้าเทียบของอย่างเดียวกับที่เมืองไทยที่นี่ก็ถูกแสนถูก ผัก ผลไม้สดกรอบงามกว่าด้วยซ้ำ สีสันก็สดใส ล่อตาล่อใจ สตรอเบอรี่ ลูกโตๆ 1 ตะกร้า แค่เหรียญเดียว(30บาท) บางร้านตัดราคากันเอง 50 เซนต์ก็มี แต่ถ้าอยากได้ถูกจริงๆต้องออกไปนอกเมืองคล้ายๆกับตลาดค้าส่งบ้านเรา ร้านอาหารไทยมักไปซื้อวัตถุดิบแบบเหมาเข่งจากที่นี่ บางทีพวกเราก็ติดรถไปด้วย ได้องุ่นมา 1 ลังใหญ่ แค่5 เหรียญเอง!! เห็นสินค้าสดๆสวยๆทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการจัดแต่งอาหารให้สวยตามด้วย ส่วนรสชาติดีไม่ดีค่อยว่ากันอีกที

ชาวเมลเบิร์นให้ความสำคัญต่อเรื่องความสะอาดมาก ตลอดถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่นี่ นิยมใช้ย่ามผ้าหนาๆ ในการจ่ายตลาด กลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งไปเลยทีเดียว แต่ละห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ ตลอดจนสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยจะทำย่ามของตัวเองออกมาจำหน่ายมีหลายไซส์หลากลวดลาย เด็กไทยหลายคน มีกันครบทุกแบบ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ซูเปอร์มารเก็ตเซฟเวย์ส (Safeways) จัดจำหน่ายย่ามเป็นชุดของ ครอบครัวซิมสันส์ (The Simpson) เจ้าตัวการ์ตูนสีเหลืองๆหน้ากวนๆชอบทำตัวจิตๆ เกิดโกลาหล เพราะต้องเสาะหาเป็นการใหญ่ว่าลายตัวพ่อซื้อที่สาขาไหน ตัวแม่ซื้อที่สาขาไหน จะซื้อแต่ละทีต้องโทรบอกให้ทั่วหน้า เพราะบางลายมีขายที่หายากจริงๆต้องถ่อไปถึงนอกเมือง พอใครรรู้ก็แห่ตามไป ของหมดเกลี้ยงเสียฉิบ


เสร็จจากอาหารสดแล้วเห็นจะหนีไม่พ้น เบเกอรี่ในห้าง ซึ่งจะต้องรู้ว่าที่ไหนอะไรอร่อย เช่นที่ “เมเยอร์” (MYER) เค้กมะนาวที่นี่อร่อยสุดๆ แต่ถ้าที่ “เดวิดโจนส์”(DAVID JONES) ก็ต้องพายแอปเปิ้ล แล้วตบท้ายด้วยไอศกรีมที่ถนน Lygon ย่าน Little Italy อีกคนละถ้วย เป็นอันเสร็จพิธี


ส่วนพวกขนมนมเนย มีกลเม็ดเล็กๆ อยู่ว่า ต้องเดินให้ทั่วทุกห้าง เพราะที่นี่จะมีการตั้งบู๊ทส์ลดราคาต่างๆกันไป เป็นต้นว่า ถ้าอยากกินช็อกโกแล็ต “แค็ดเบอรี่” (Cadbury) ที่ เซฟเวย์ส ขายอยู่ 4 เหรียญ แต่เดินต่อไปที่ บิ๊กดับเบิ้ลยู ดันกลายเป็นซื้อ 1 แถม 1 ทั้งๆที่ร้านอยู่ตรงข้ามกันแท้ๆ ดังนั้นถ้าอยากประหยัดต้องดูให้ทั่วๆ ทฤษฏีนี้ยังสามารถปรับใช้กับการช็อปปิ้งทั่วๆไปอีกด้วยเพราะร้านขายเสื้อผ้ามักมักมี โปรโมชั่น สลับหมุนเวียนชนิดสินค้าไปเรื่อย เช่นผ้าพันคอสีม่วงที่ร้าน MIMCOตรงเมล์เบิร์นเซ็นทรัลราคา 25 เหรียญ แต่สีเขียวลดราคาอยู่เหลือเพียง 5 เหรียญ ถ้าเราอยากได้ต้องอดใจรอซัก 2อาทิตย์จะเป็นฤกษ์กงามยามดีราคา 2 สีจะสลับกัน เราก็จัดการซะตอนนั้นเลย เป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกร้าน


La Trobe, Lonsdale, Bourke, Collins, Flinders เหล่านี้เป็นชื่อของถนนที่เรียงขนานกันไปต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะเป็นย่านใจกลางเมืองของเมลเบิร์น (Central Business District) สารพัดแหล่ง ของชาวเมลเบิร์นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งช็อปปิ้ง แหล่งรัปประทานอาหาร แหล่งสถานเริงรมณ์ แหล่งงานศิลปะ


เริ่มต้นที่ Federation Square อยู่ริมฝั่งแม่น้ำยาร์รา (Yarra River) แม่น้ำหลักของเมลเบิร์น บริเวณนี้เป็นลานอเนกประสงค์กว้างๆ ใช้ในงานเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานคริสตมาส งานคอนเสริต์ แม้กระทั่งงานสงกรานต์ของชาวไทยในเมลเบิร์นก็จัดที่นี่ด้วย บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของตึกแสดงนิทรรศการศิลปะ มีชื่อว่า The Labyrinth ตึกนี้มีลักษณะเป็นหอสูง กรุด้วยกระจกแบบซิกแซกโดยรอบ ดูแล้วเดิ้นมากๆ ตรงกันข้ามเป็นสถานีรถไฟหลัก ฟลินเดอร์ (Flinders) คลับคล้ายคลับคลากับ หัวลำโพงของบ้านเรา บริเวณนี้เป็นเขตตึกสูงและออฟฟิศคนทำงาน เรื่อยมาเป็นโรงแรม 5ดาวและย่านช็อปปิ้งไฮโซ พวกแบรด์แนมทั้งหลายแหล่ ไม่ไกลจากนั้นร้านรวงจะเริ่มวัยรุ่นขึ้น แนวๆสยามสแควร์บ้านเรา พวกร้านเสื้อดีไซเนอร์เปรี้ยวๆ เครื่องประดับต่างๆร้านเฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ มีค้อฟฟี่ช็อปริมทางมากมายให้นั่งพักผ่อนเอาแรงระหว่างช็อป ฝั่งตรงข้ามเป็น “ห้องสมุดสาธารณะวิคตอเรีย” (State Library of Victoria) ที่ใหญ่โตโอ่อ่า ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่คราคร่ำไปด้วยชาวเมลเบิร์นที่พากันมาหย่อนกายนอนเหยียดกายเอกเขนกรับวิตามินดีท่ามกลางแสงแดดกันสุดฤทธิ์ ภายในประกอบไปด้วยห้องต่างๆมากมาย แบ่งหนังสือเป็นหมวดหมู่กระจายกันไปในแต่ละห้อง บางห้องจัดแสดงนิทรรศการสลับหมุนเวียนต่างๆกันไปตลอดปี อีกไม่ไกลเป็น “หอศิลป์ประจำเมือง” (The National Gallery of Victoria) ช่วงที่ไปนั้นเป็นงานแสดงของ แอนดี้ วอโฮล์ (Andy Warhol) ศิลปินระดับโลก หากนึกไม่ออกให้นึกถึง หน้ามาริลีน มอนโรว์ที่ทาสีพาสเทลเลอะๆ คงจะร้องอ๋อ!! ไม่ไกลจากที่นี่ เป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ เมลเบิร์น” (Melbourne Museum) ตั้งอยู่ใน สวนคาร์ลตั้น (Carlton Gardens) ภายนอกมีคิวบิก ลูกใหญ่เอียงกะเท่เร่เป็นสัญลักษณ์ ภายในประกอบด้วยแกลเลอลี่ต่างๆให้ดูกันจนจุใจ
หากอยากปลีกตัวจากความชุลมุนวุ่นวาย เปลี่ยนบรรยากาศไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ก็เดินไปต่อที่ “รอยัล โบตานิค การ์เด้น” (Royal Botanic Gardens) ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆทั่วโลก ภายในมีบ้านจำลองหลังเล็กๆของ กัปตัน เจมส์ คุก (James Cook) นักเดินเรือชาวอังกฤษผู้ผู้บุกเบิกทวีปออสเตรเลีย

ชาวจีน เป็นชนชาติที่มีอยู่ทั่วโลกจริงดังว่า เกือบจะไม่มีประเทศไหนที่ไม่มี “ไชน่าทาวน์” (China Town) เลย ฉันใดก็ฉันนั้น เมลเบิร์นก็ย่อมต้องมี ไชน่าทาวน์เป็นเรื่องธรรมดา
ชาวจีนย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่นี่ล้วนแต่ได้สัญชาติเป็นพลเมืองของออสเตรเลียแล้วทั้งสิ้น แต่ยังไงก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกันซักที หลุดเข้าไปไชน่าทาวน์ทีไรราวกับไปเมืองจีนแท้ๆ ช่างจ้อกแจ้กจอแจ อึกทึกครึกโครมไปหมด ผู้คน สินค้า ต่างๆนานา แตกต่างจากย่านของชาวออสซี่อย่างสิ้นเชิง แต่ไม่วายยังไงๆเราก็ต้องมาไชน่าทาวน์อยู่ดี ทำไมนะหรือ ก็เพราะอยากทานข้าวหน้าเป็ดกับชาไข่มุกนะสิ


“คนจีนรวยกว่าฝรั่งแน่ๆ” เป็นคำพูดของเด็กไทยหลายต่อหลายคนที่นี่ หากอยากพิสูจน์ ก็ต้องไปที่ “คราวน์ คาสิโน” (Crown Casino) คาสิโนขนาดยักษ์ตั้งอยู่ภายใน Crown Entertainment Complex แหล่งบรรเทิงครบวงจรริมฝั่งแม่น้ำยาร์รา ภายในคาสิโนแห่งนี้นึกว่าเป็นไชน่าทาวน์แห่งใหม่ เดินไปทางไหนมีแต่ชาวจีน แถมเวลาเล่นกันทีวางลงไป 500 เหรียญ( เข่าอ่อนเลยเรา) ผู้เขียนได้กรณีศึกษา เป็นคุณเจ๊ขาพนันคนหนึ่งเล่น รัชเชี่ยนลูเล็ต ตอนแรกแลกชิบมา ประมาณ2000 เหรียญเห็นจะได้ วางตาแรกก็หมดซะแล้ว อุแม่เจ้า!! ยังไม่หนำใจคุณเจ๊แก ไปแลกเพิ่มมาอีก เสียหมดอีก แต่ก็เห็นเดินทำหน้าชิวๆ แบบอุ๊ยต๊ายแค่เศษเงิน!!! เห็นอย่างงี้แล้วข้าน้อยขอคารวะในความรวยของชาวจีนสัญชาติออสซี่เสียจริงๆ ส่วนฝรั่งแท้ๆนะเหรอ เห็นเดินเสริ์ฟน้ำกันว่อน!!!


“ร้านเอเชีย” ในไชน่าทาวน์ คือสถานที่จำเป็นสำหรับเด็กไทยและเด็กชาติเพื่อนบ้าน มีสินค้าไทยมากมาย ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ มาม่า ไวไว กุ้งกิ๊ง แม็กกี้มีครบหมด ที่นี่เป็นแหล่งค้นพบที่มีสินค้าแปลกๆแม้แต่ที่อยู่กรุงเทพฯเองยังไม่มีขายเลย เช่น ไข่มดแดงกระป๋อง ขนมถ้วยแช่แข็ง โอยสารพัด ถ้าอยู่เมลเบิร์นแล้วอยากกิน น้ำแดงยี่ห้อ เฮลส์บลูบอย ต้องมาที่นี่เท่านั้น­.....ขอบอก....

นอกจากจะรับจ๊อบพนักงานเสริ์ฟแล้ว เด็กไทยหลายคนยังคงมีความกระตือรือร้นในการทำงานอื่นๆ เช่น การเดินแจกใบปลิว (flyer) ตามบ้าน ซึ่งเป็นงานที่แปลกประหลาด บ้านเราไม่มีแน่ๆ
เจ้าใบปลิวที่ว่านี่ก่อนอื่นจะต้องไปรับที่ “สถานีเซาท์ยาร์รา” ซึ่งเป็นออฟฟิศใหญ่ หลังจากนั้นก็จะได้รับใบปลิว ซึ่งมีหลายแบบ หลายขนาดขนาดไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารต่างๆ ร้านล้างรถ บริการการทำความสะอาด โรงเรียนสอนโยคะ ฯลฯ และจะได้รับแผนที่มาว่าจะต้องแจกในเขตไหน เวลาไปเที่ยวนึงก็รับมา 2-3 แบบเพื่อให้คุ้มกับการเดิน บางทีต้องเอารถลากไปด้วยก็มี หลังจากเราแจกเสร็จแล้วก็จัดการโทรไปบอกสำนักงานว่าเสร็จแล้ว จะมีการสุ่มเช็ค ถ้าการส่งของเราดี ตรงตามเวลา และทั่วถึง จะมีการเพิ่มระดับของ ผู้แจกใบปลิว........หมายถึงงานดี เงินก็ดี ประมาณนั้น

งานแจกใบปลิวเป็นงานง่ายมาก แต่ต้องใช้ความอดทนสูง บางคนทำได้รอบเดียวจอด พวกที่ทำได้ตลอดลอดฝั่งเพราะมีแรงบันดาลใจมากมาย ทั้งค่าตอบแทนก็คุ้มค่าพอสมควร 4 ใบ 1บล็อก 2 ชั่วโมง กับวิวสวยๆ ได้ 125 เหรียญ ถือว่าคุ้มสุดคุ้ม บางทีโชคดี เจอของเซลส์ ก็แวะซื้อกัน บางทีเจอร้านกาแฟ ก็หยุดทานกัน เจอเบอเกอรี่ ก็หยุดชิมกัน เจอวิวสวยๆก็หยุดถ่ายรูปกัน บางครั้งนำสมุดไปสเก๊ตภาพสวยๆตามทางกันบ้าง ไม่เบื่อกันมั่งเลยนะ แก๊งแจกใบปลิวเนี่ย


การแจกใบปลิวนี้ ถือเป็นการท่องเที่ยวเมลเบิร์นอย่างนึง นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้ไปพบซอกมุมแปลกๆที่แม้กระทั่งชาวเมลเบิร์นเองยังไม่เคยไป บางเขตเป็นเขตสถาปัตยกรรมยุคเก่า ว่ากันว่าเมลเบิร์นเป็นเมืองที่ “ยุโรป” ที่สุดในออสเตรเลียเนื่องจากเป็นเขตแรกที่ชาวยุโรปอพยพย้านถิ่นฐานมาอยู่เรียกว่า European Settlement of Australia จึงยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบยุโรบไว้ไม่ว่าจะเป็น แบบ “วิคตอเรียน” (Victorian architecture) ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่น “ตึกรอยัล เอ็กซิบิชั่น” (Royal Exhibition Building) ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็น “มรดกโลก” (World Heritage) หรือ ทรงโกธิก (Gothic) แบบ “วิหาร เซ็นท์ ปอล” (St Paul's Cathedral) บางเขตก็เป็นแบบโมเดิร์นจ๋าไปเลย แต่ละหลังราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารเมืองนอก โครงบ้านสวยๆ สเปซงามๆ เห็นแล้วอยากกระโดดเข้าไปนอนเอกขเนกจิบแชมเปญ เ ต๊ะท่าเป็นดาราฮอลลี่วู้ด แล้วเปรย(กับตัวเอง)ว่า นี่บ้านชั้นเอง...สวยมะ!!


นอกจากบ้านแล้ว อีกอย่างที่สวยไม่แพ้กันคือสวนของชาวเมลเบิร์น ไม่ว่าบ้านจะเล็กแค่ไหนแต่หน้าบ้านจะต้องมีสวนสวยๆให้เราชมอยู่เสมอๆ ทั้งสวนลาเวนเดอร์ กุหลาบ ตลอดจนผลไม้จำพวกแบร์รี่ส์ ต่างๆนานา ก็มีให้เห็นเต็มไปหมด เห็นทีไรเป็นอดไม่ได้ต้องหยิบกล้องมาโพสท่ากับสวนถ่ายรูปกันแชะๆ ดังนั้นเวลาไป มักจะเสียเวลาเป็น 2 เท่าเพราะมัวแต่ชี้นกชมไม้กับเพื่อนๆ รสนิยมเดียวกัน


ชาวออสซี่ให้ความสำคัญต่อที่อยู่อาศัยมาก มีการตกแต่งให้สวยงาม ทันสมัยอยู่เสมอ แต่ละหลังมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง บ้านทุกหลังมี ตู้ไปรษณีย์รูปลักษณ์ต่างๆกันไป มีทั้งแบบโลหะ และวัสดุธรรมชาติ แบบโลหะที่ว่านี่เวลาเปิดแต่ละทียากแสนยาก เหนียวแน่นมากๆ ง้างแต่ละทีนิ้วแทบหลุด สร้างความลำบากให้แก่เด็กแจกใบปลิวมากๆ ตอนหลังถึงจะรู้ไต๋ คือ ต้องพับใบปลิวให้มีสันแหลมๆเสียก่อน แล้วก็กระแทกเสียบเข้าไปให้สำเร็จในทีเดียว ไม้ต้องเสียเวลาง้าง แม้ว่าใปบลิวจะคาอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเพอร์เฟ็กแล้ว เพราะเห็นกันหมด ทั้ง คนแจก คนรับ ที่สำคัญคือ คนตรวจจ๊อบ

No Junk!! Please เกินครึ่งของในแต่ละเขตมักจะมีป้ายนี้อยู่ที่ตู้จดหมาย ดังนั้นใบปลิวที่ได้รับมาจึงมักจะมีเหลืออยู่เสมอๆ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับ ขุมทรัพย์ ซึ่งเป็นชื่อเรียกของแมนชั่นต่างๆ ที่มักจะมีตู้จดหมายเรียงๆกันเป็นร้อยๆ เวลาเจอขุมทรัพย์ทีไรกระโดดตัวลอยทุกที

จนวันนี้เมลเบิร์นยังคงเป็นเมืองเล็กๆมีมากด้วยเสน่ห์ หลากสีสันอารยธรรม กลิ่นอายจากสถาปัตยกรรมโบราณผนวกกับศิลปะประยุกต์ จงปล่อยใจไปกับธรรมชาติที่แสนจะบริสุทธิ์ ทุกอย่างที่นี่เป็นความหลากหลายที่ลงตัวแล้ว รอแต่ให้คุณมาสัมผัสด้วยตนเอง ที่เมลเบิร์น....เท่านั้นแหละ

3 comments:

Anonymous said...

พอดีหลงมาในบล็อกนี้ได้ไงไม่รู้ แต่รู้ว่ามีประโยชน์มากมายจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของเมล์เบิร์น เราเรียนอยู่ที่นี่แหละ ยังไม่รู้ลึกเท่าเธอเลย เก่งมากค่ะ ขอชมจากใจจริง ว่าแต่ทำไงถึงให้ได้งานแจกใบปลิวอ้ะ อยากเดินชมเมืองเที่ยวเล่นบ้าง

Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

Anonymous said...

ข้อมูล 79.8725 % คลาดเคลื่่อน(เพี้ยนจากความเป็นจริง) นั่งเทียนพรรษาเขียน รึเปล่า?